เมื่อเราหันไปมองกลุ่มทีมที่ยังจมปลักอยู่บริเวณท้ายตาราง พรีเมียร์ลีก ขณะนี้ ทั้ง ฟูแล่ม, ฮัดเดอร์สฟิลด์, คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้, เซาแธมป์ตัน และ คริสตัล พาเลซ ที่เสียประตูรวมกันไปบานเบอะถึง 116 ลูกจากความพ่ายแพ้รวมกัน 38 ครั้ง โดยมีเพียง คริสตัล พาเลซ และ คาร์ดิฟฟ์ ที่เก็บชัยชนะไปได้มากกว่า 1 ครั้ง และจากแนวโน้มเหล่านี้ก็ได้มีการประเมินกันว่าการเก็บแต้มได้แค่ราว 20 ปลายๆหลังสิ้นสุดฤดูกาลนี้ก็น่าจะเพียงพอสำหรับพวกเขาที่จะอยู่รอดปลอดภัย แม้สถิติจากการแข่งขันไปเพียง 12 นัดอาจเป็นฐานข้อมูลที่ดูเล็กน้อยจนเกินไปสำหรับการคิดคำนวณ แต่จากตัวเลขที่เกิดขึ้นในเวลานี้ก็สามารถสะท้อนให้เห็นถึงมาตรฐานระดับต่ำเตี้ยเรี่ยดินของทีมกลุ่มล่างๆในลีกสูงสุดแดนผู้ดี และหากย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ซักหนึ่งสัปดาห์ นี่ก็เป็นครั้งแรกในรอบ 27 ปีของ พรีเมียร์ลีก ที่ 5 ทีมในกลุ่มท้ายตารางเก็บแต้มได้ไม่เกิน 7 คะแนนหลังผ่านพ้นไป 11 เกม
นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ที่เริ่มกระเสือกกระสนออกจากพื้นที่สีแดงได้สำเร็จหลังสามารถเก็บชัยชนะได้ 2 นัดรวด โดยก่อนหน้านั้นใน 10 เกมแรกพวกเขาเอาชนะใครไม่ได้เลยและเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปถึง 7 ครั้ง เช่นเดียวกับ เบิร์นลี่ย์ ที่เหมือนจะทำได้ดีกว่าในทีแรกจากที่เคยขยับขึ้นไปอยู่ในอันดับที่ 12 หลังเก็บชัยชนะได้ 2 นัดติดต่อกัน แต่สุดท้ายก็ทำผลงานได้เท่ากับ นิวคาสเซิ่ล จากการชนะ 2 เสมอ 3 แพ้ 7 และมีคะแนนนำ 5 ทีมในกลุ่มท้ายตารางอยู่เพียงแค่แต้มเดียว ในมุมกลับกันเมื่อหันไปมองยังกลุ่มทีมหัวตาราง ลำพังแค่ แมนฯ ซิตี้ ทีมเดียวก็เก็บแต้มได้เกือบจะเท่ากับคะแนนของ 5 ทีมท้ายรวมกัน และหากลองหันไปเปรียบเทียบตรงจุดเดียวกันกับเมื่อปีที่แล้ว 5 ทีมท้ายตารางสามารถเก็บแต้มได้มากกว่าซีซั่นปัจจุบัน 8 คะแนน ในขณะที่ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก็ยังเป็นผู้นำและเก็บแต้มได้มากกว่าตอนนี้ 2 คะแนน
จากตัวเลขเหล่านี้ได้ชี้ให้เห็นแนวโน้มความเป็นไปของ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลปัจจุบันที่เริ่มสวนทางกับคำสรรเสริญเยินยอต่างๆว่า นี่คือลีกการแข่งขันที่มีมาตรฐานสูงสุด และทีมระดับล่างๆก็พร้อมจะทำแสบใส่คู่แข่งบิ๊กเนมได้ทุกเมื่อที่เจอกัน เมื่อพูดถึงผลงานของ ฟูแล่ม, ฮัดเดอร์สฟิลด์, คาร์ดิฟฟ์, เซาแธมป์ตัน และ พาเลซ ในการเผชิญหน้ากับ แมนฯ ซิตี้, ลิเวอร์พูล, เชลซี, ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ และ อาร์เซน่อล 5 ทีมจากกลุ่มหัวตารางในซีซั่นนี้ ก็ได้ผลลัพธ์โดยรวมออกมาเป็น แข่ง 20 ชนะ 0 เสมอ 1 แพ้ 19 ได้ 11 เสีย 62 ซึ่งแค่มองปร๊าดเดียวก็รู้แล้วว่ามันเละเทะและห่างชั้นกันขนาดไหน ในขณะที่กลุ่มทีมหัวแถวก็กำลังโกยแต้มใส่กระเป๋ากันแบบเมามันอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
นี่ยังเป็นฤดูกาลแรกของ พรีเมียร์ลีก ที่ 3 ทีมหัวแถวทั้ง แมนฯ ซิตี้, ลิเวอร์พูล และ เชลซี ยังไม่เคยสัมผัสกับความปราชัยหลังผ่านพ้นไปแล้ว 12 เกม และยังไม่เคยมีซักครั้งก่อนหน้านี้ที่ 3 ทีมนำจะเก็บแต้มได้มากกว่า 26 คะแนน ณ ตรงจุดนี้ จากสถิติและตัวเลขที่แสดงให้เห็นทั้งหมดสามารถชี้นำให้เราเข้าใจได้ไม่ยากว่า ทีมในกลุ่มหัวตารางกำลังเข้มแข็งขึ้นทุกขณะซึ่งตรงกันข้ามกับทีมท้ายแถวที่กำลังสาละวันเตี้ยลงทุกที อย่างไรก็ตามการสรุปแบบรวบรัดเช่นนี้อาจไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องซะทีเดียว อันดับแรก แมนฯ ซิตี้, ลิเวอร์พูล, เชลซี, สเปอร์ส และ อาร์เซน่อล เป็นทีมที่แข็งแกร่งขนาดนั้นจริงหรือ? เพราะผลลัพธ์ที่ปรากฏออกมาในเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้แสดงออกมาในทิศทางที่ตรงกันข้าม โอลิมปิก ลียง ทีมอันดับ 4 ใน ลีกเอิง บุกมาคว่ำ แมนฯ ซิตี้ ได้ถึงถิ่น หรือ เร้ด สตาร์ เบลเกรด ที่สิ้นลายจากการเป็นทีมยักษ์ใหญ่ในเวทียุโรปไปนาน และ นาโปลี ทีมรองจ่าฝูง เซเรีย อา ต่างก็เอาชนะ ลิเวอร์พูล ได้ด้วยรูปเกมที่ไม่เป็นรอง ในขณะที่หนทางเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายของ สเปอร์ส ก็แสนจะริบหรี่เต็มที
แต่เมื่อลองหันกลับไปมองใต้กลุ่มทีมระดับหัวแถวที่เผอิญปีนี้อาจจะลองหยวนๆมองข้าม แมนฯ ยูไนเต็ด ไปด้วย จากที่ก่อนหน้านี้เราจะยังสัมผัสได้ถึงความพยายามดิ้นรนตรงพื้นที่กลางตารางของทีมในกลุ่มระดับรองๆลงไป หากแต่ในซีซั่นนี้ทั้ง ไบรท์ตัน, วูล์ฟแฮมป์ตัน, เลสเตอร์ ซิตี้ และ เอฟเวอร์ตัน ต่างอยู่ในสถานการณ์ที่ลอยลำจากโซนอันตรายกันถ้วนหน้า แต่ก็ไม่ได้มีแนวโน้มที่จะทำแต้มคุกคามทีมในกลุ่มหัวแถวได้เช่นกัน สิ่งที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดในซีซั่นนี้ก็คือพวกทีมที่ป้วนเปี้ยนอยู่ในพื้นที่สีแดงจากช่องว่างของคะแนนที่ตัดแบ่งออกมาอย่างเห็นได้ชัด และยังพอจะสังเกตเห็นบางอย่างได้จากการคว้าชัยชนะในลีกได้ซักนัดตอนช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนแต่กลับมีบรรยากาศเฉลิมฉลองเหมือนการคว้าถ้วยรางวัลได้ซักใบในเดือนพฤษภาคม ซึ่งเหมือนจะเป็นสัญญาณว่าทีมเหล่านี้กำลังเริ่มเล่นเพื่อหนีตายกันตั้งแต่ยังเหลือแมตช์การแข่งขันอีกร่วม 26 นัด
ในเคสของ คาร์ดิฟฟ์ ที่พาตัวเองกลับเลื่อนชั้นขึ้นมายังลีกสูงสุดเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 4 ปี และ ฮัดเดอร์สฟิลด์ ที่พยายามเอาตัวรอดมาได้จากฤดูกาลที่แล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเขาจะจมอยู่ในกลุ่ม 3 ทีมท้ายตารางยิ่งหากรวมไปถึงงบการซื้อนักเตะที่ค่อนข้างจำกัดในช่วงก่อนออกสตาร์ทฤดูกาล แต่ในส่วนของ ฟูแล่ม กลับเป็นอะไรที่ค่อนข้างน่าผิดหวังหลังความพยายามทุ่มเงินร่วม 100 ล้านปอนด์ในตลาดนักเตะช่วงหน้าร้อน แต่นับตั้งแต่เปิดฤดูกาลมาทีมของ สลาวิซ่า โยคาโนวิช กลับเก็บชัยชนะได้เพียงแค่นัดเดียวและจมอยู่ในอันดับบ๊วย ในขณะที่ เซาแธมป์ตัน ก็พึ่งกระเสือกกระสนหนีตายมาได้แบบหวุดหวิดในฤดูกาลที่แล้ว และ คริสตัล พาเลซ ก็เคยเป็นทีมที่ถูกตราหน้าว่าไปไม่รอดแน่ๆหลังพ่ายไปถึง 7 นัดรวดในการออกสตาร์ทซีซั่นที่แล้ว แต่ก็กลับตีตื้นขึ้นมาและเอาตัวรอดได้สำเร็จหลังทำสถิติไร้พ่ายใน 6 เกมสุดท้าย นอกจากนี้ทั้ง นิวคาสเซิ่ล และ เบิร์นลี่ย์ ที่ทำอันดับได้ไม่หนีไปกว่ากันเท่าไรก็ยังคงอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลม หลังมีการเสริมทัพในช่วงซัมเมอร์แบบจำกัดจำเขี่ย และแม้นี่อาจจะเป็นฤดูกาลแรกที่เราพอจะเห็นถึงความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างกลุ่มทีมหัวแถวและท้ายตาราง แต่ใครจะกล้ารับประกันได้ว่ามันจะไม่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งที่เรากำลังเริ่มสัมผัสได้ในฤดูกาลต่อๆไป