ดิโอโก้ โจต้า ดาวเตะตัวใหม่ของ ลิเวอร์พูล กับเงิน 45 ล้านปอนด์ ที่จ่ายออกไปให้ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอร์เรอร์ส เพื่อคว้าดาวเตะชาวโปรตุเกสไปร่วมทีม ดูเป็นเหมือนกับการเสริมทัพที่ตื่นตระหนกไปหน่อยสำหรับทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ กับตลาดซื้อขายนักเตะซัมเมอร์ที่ผ่านมา เมื่อมองว่านักเตะเป็นเพียงตัวหมุนเวียนในการลงสนามแดนหน้าของ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่, โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ และ ซาดิโอ มาเน่
แม้โจต้าจะไม่ได้สร้างความวูบวาบในการลงสนามให้กับทีมในช่วงแรกมากนัก แต่นักเตะก็ค่อยๆ ปรับตัวในการลงสนามให้กับทีมได้อย่างต่อเนื่อง ก่อนที่จะทำได้ 2 ประตู จากการลงสนามในถิ่นแอนฟิลด์ 2 เกมหลังสุด ซึ่งรวมถึงประตูชัยที่ทำให้ลิเวอร์พูลพลิกกลับมาเอาชนะเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ดได้ด้วยสกอร์ 2-1 บอลเมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา
คล็อปป์ยืนยันถึงความสมบูรณ์แบบในการเล่นของโจต้า แม้ดาวเตะวัย 23 ปี เพิ่งจะย้ายมาร่วมทีมในเดือนที่แล้ว แต่กับความไหลลื่นที่เล่นร่วมกับนักเตะในเวลานี้ มันทำให้ดูเหมือนกับว่าโจต้าอยู่กับทีมมาหลายปี จนนายใหญ่ชาวเยอรมันกล่าวชื่นชมว่า “เขาเป็นนักเตะที่ดี เขาเป็นคนง่ายๆ เพราะเขาเป็นคนที่น่ารัก น่าคบ เขาเป็นนักเตะที่ดีและมันก็เป็นเหตุผลที่พวกเราเซ็นสัญญาเขามาร่วมทีม เขาเร็ว มีสภาพร่างกายที่ยอดเยี่ยม แข็งแกร่ง เล่นลูกกลางอากาศได้ดี บนพื้นก็ด้วย สิ่งเหล่านี้คือคุณสมบัติที่พวกเราต้องการ”
แม้ซาล่าห์ และมาเน่จะเป็นสองนักเตะที่ทำประตูให้กับทีมของคล็อปป์ได้อย่างโดดเด่น แต่สถิติในการทำประตูในแอนฟิลด์ในพรีเมียร์ลีกได้ 2 เกมติดต่อกัน กลับเป็นของโจต้าที่ทำได้สำเร็จ หลังเพิ่งจะย้ายมาร่วมทีมในช่วงตลาดซื้อขายนักเตะล่าสุด โดยคนที่ทำสถิตินี้ได้ล่าสุดคือมาเน่ที่ทำเอาไว้ในปี 2016
แม้โจต้าจะไม่ได้สร้างความแตกต่างให้กับลิเวอร์พูลได้เหมือนกับสิ่งที่ซาล่าห์ และมาเน่ หรือแม้กระทั่งฟีร์มิโน่ทำ แต่โจต้าจะเข้ามาสร้างความแข็งแกร่งให้กับทีมได้อย่างแน่นอน เมื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพทางด้านร่างกายและเทคนิคการเล่น รวมถึงการเลี้ยงบอล แม้กระทั่งลูกกลางอากาศ ซึ่งกลายเป็นตัวเลือกในการลงสนามก่อนคาทุมิ มินามิโนะ และเซอร์ดาน ชากีรี่ ไปแล้ว
ยิ่งสถานการณ์ในปัจจุบันเมื่อคล็อปป์ตัดสินใจเปลี่ยนมาเล่นในแผน 4-2-3-1 ยิ่งเป็นแผนที่เข้าทางโจต้า เมื่อยังมีตำแหน่งที่เพียงพอสำหรับการลงสนาม เหมือนกับเกมที่ทีมเอาชนะเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ดมาได้ และแน่นอนว่าจะเป็นระบบการเล่นที่มีโอกาสใช้อย่างต่อเนื่องในฤดูกาลนี้ เมื่อทีมต้องการเปิดเกมรุกเข้าใส่คู่แข่งอย่างต่อเนื่อง